ผงซักฟอกกับปัญหาน้ำเน่าเสีย ?.!.
หลายๆ พื้นที่ภาวะน้ำท่วมคลี่คลายลงแล้วมีรายงานข่าวการใช้ผงซักฟอกช่วยทำความสะอาดอาคาร บ้านเรือน สิ่งของ เครืองใช้ พื้นถนน ฯ กำจัดคราบไคลสิ่งสกปรก ปล่อยน้ำชะล้างไหลลงสู่น้ำท่วมขังที่ยังไม่แห้งสนิท รวมทั้งแม่น้ำลำคลองธรรมชาตินั้น จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียมากยิ่งขึ้น...จริงหรือไม่..?
ด้วยเหตุที่ผงซักซักฟอก (detergent) ประกอบด้วยฟอสฟอรัส (phosphorous) ซึ่ง มีความสำคัญต่อการเจริญของพืชและสัตว์ เป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกและฟันที่สมบูรณ์แข็งแรง ส่วนในพืชและสัตว์พบว่าฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบของ DNA, RNA และ Adenosine Tri-phosphate หรือ ATP ซึ่ง ATP เป็นแหล่งพื้นฐานของพลังงานที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ รวมทั้งฟอสฟอรัสยังเป็นส่วนประกอบของปุ๋ยสำหรับพืช (plant fertilizers) อีกด้วย โดยช่วยเสริมสร้างการเจริญของราก กิ่ง ลำต้น ใบ ดอก และผล
คราบไคลสิ่งสกปรก ?

ผงซักฟอก คืออะไร ?ผงซักฟอกเป็นสารซักล้างที่ผลิตขึ้น มาใช้แทนสบู่ มีสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ชนิดสังเคราะห์และ/หรือชนิดธรรมชาติเป็นส่วนประกอบหลัก เป็นเกลือโซเดียมซัลโฟเนตของไฮโดรคาร์บอน เช่น Sodium dodecylbenzenesulfonate สูตรเคมี C12H25C6H4SO3Na อยู่ ในรูปผงเม็ดเล็กๆ หรือเกล็ดอัดขึ้นรูป กึ่งแข็งกึ่งเหลว อาจเป็นแท่ง หรือลักษณะอื่นๆ แต่ไม่มีลักษณะเป็นของเหลว ผงซักฟอกมีสมบัติชำระล้างสิ่งกปรกทั้งหลายได้เช่นเดียวกับสบู่ ผงซักฟอกมีส่วนประกอบของฟอสฟอรัสในรูปเกลือฟอสเฟต (phosphate ; PO43-)
ผงซักฟอกทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้อย่างไร ?
โครง สร้างโมเลกุลของผงซักฟอกประกอบด้วยทั้งส่วนที่มีขั้วและไม่มีขั้ว (amphiphilic) เหมือนกับลักษณะโมเลกุลของไขมัน ส่วนมีขั้ว (polar) เป็นหมู่ซัลโฟเนต (sulfonate ; SO3- Na+) ชอบน้ำ (hydrophilic) และส่วนไม่มีขั้ว (non-polar) เป็นหมู่ไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon ; CnH2n+2) ไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) เมื่อผงซักฟอกละลายในน้ำจะเกิดโครงสร้างแบบไมเซลล์ (micelle) โดยที่ด้านที่ชอบน้ำจะหันมาข้างนอกส่วนด้านที่ไม่ชอบน้ำจะอยู่ในกลายเป็น โมเลกุลวงกลม เมื่อผงซักฟอกพบคราบไขมันสิ่งสกปรก จะเข้าไปเอาด้านไม่ชอบน้ำจับไขมันไว้แล้วพาคราบไขมันออกมาจากพื้นผิว ทำให้สามารถชะล้างสิ่งปรกออกไป


ชนิดของผงซักฟอกผงซักฟอกแบ่งตามสารลดแรงตึงผิว 4 ประเภท
( 1 ) ผงซักฟอกประเภทแอนอิออนิก (anionic detergents) มีสารลดแรงตึงผิวเป็นไอออนลบ เช่น alkyl benzene sulfonates สามารถชำระล้างคราบสกปรกประเภทดินโคลนออกจากผ้าฝ้ายและเส้นใย ธรรมชาติอื่นๆ ได้ดีในน้ำอุ่น
( 2 ) ผงซักฟอกประเภทแคทอิออนิก (cationic detergents) มีสารลดแรงตึงผิวเป็นไอออนบวกของ NH+ เช่น quaternary ammonium
( 3 ) ผงซักฟอกประเภทนันอิออนิก (nonionic detergents) มีสารลดแรงตึงผิวเป็นสาร ที่ไม่เกิดการแตกตัวเป็นไอออน เช่น polyoxyethylene หรือไกลโคไซด์ (glycoside :- octyl-thioglucoside, maltosides) มีฟองน้อย ทำงานได้ดีในทุกสภาพน้ำ ไม่จำเป็นต้องเติมสารที่ทำให้น้ำอ่อน สามารถชำระคราบไขมันออกจากพอลิเอสเตอร์และเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ ได้ดีเป็นพิเศษ
( 4 ) ผงซักฟอกประเภทแอมโฟเทอริก (amphiphilic detergents) มีสารลดแรงตึงผิวที่สามารถแตกตัวเป็นได้ทั้งไอออนบวกและไอออนลบ
ส่วนประกอบหลักของผงซักฟอก
( 1 ) บิลเดอร์ ฟอสเฟต (builder phosphate) ปริมาณ 30-50% เช่น เตตระโซเดียมฟอสเฟต (Tetrasodium pyrophosphate) สูตรเคมี Na4P2O7 โซเดียมไตรพอลิฟอสเฟต (Sodium tripolyphosphate) สูตรเคมี Na5P3O10) ฯลฯ สารนี้ช่วยรักษาสภาพน้ำให้เป็นเบส ช่วยกระจายน้ำมัน สิ่งสกปรกออกเป็นอนุภาคเล็กๆ จนสามารถแขวนลอยได้ในน้ำและปรับสภาพน้ำกระด้างให้กลายเป็นน้ำอ่อนหน้าที่ ทำให้น้ำมีสภาพเป็นเบส เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายได้ดี ฟอสเฟต จะรวมตัวกับไอออนของโลหะในน้ำกระด้างเป็นสารเชิงซ้อน ทำให้ไอออนของโลหะ ในน้ำกระด้างไม่สามารถขัดขวางการกำจัดสิ่งสกปรกของผงซักฟอกได้
( 2 ) สารลดแรงตึงผิว (surface-active agent หรือ surfactant) ปริมาณ 12-30% เป็นสารที่ใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายได้ ได้แก่ เกลือโซเดียมแอลคิลซัลโฟเนต (Sodium alkylsulfonate) สูตรเคมี CH3(CH2)6SO3Na โซเดียมแอลคิลเบนซิลซัลโฟเนต (Sodium alkylbenzene sulfonate) สูตรเคมี R-C6H4-SO3Na ; R=C10~C13) ฯลฯ ทำให้วัสดุเปียกน้ำได้ง่าย ทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกมาเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วสารจะล้อมรอบสิ่งสกปรกเล็กๆ เอาไว้ในสารลดความตึงผิว
( 3 ) ซิลิเกต (silicates) ปริมาณ 5-10% เช่น โซเดียมซิลิเกต (Sodium silicate) สูตรเคมี Na2SiO3) ช่วยป้องกันสนิมของชิ้นส่วนอะลูมิเนียม เช่น กระดุม ซิป ฯลฯ และยึดสิ่งสกปรกเอาไว้ไม่ให้กลับไปจับพื้นผิว เพิ่มความสดใส ดูดแสงอุลตร้าไวโอเลตไว้ ทำให้เกิดการเรืองแสงสะท้อนเข้าตา ขาวสะอาด
( 4 ) สารเพิ่มฟอง (suds booster) เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium lauryl sulfate) สูตรเคมี CH3(CH2)10CH2(OCH2CH2)nOSO3Na เป็นสารที่จะช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้เกิดฟองกับน้ำได้ดีสำหรับผงซักฟอกซักด้วยมือ
( 5 ) โชเดียมคาบอกซีเมทิลเซลลูโลส (sodium carboxymethylcellulose) สูตรเคมี [C6H7O2 (OH)x (OCH2COONa)y]n ปริมาณ 0.5-1% เป็นอีมัลซิไฟเออร์ (Emulsifiers) ป้องกันการเกิดตะกอน
( 6 ) อื่นๆ เช่น น้ำหอม สี สารฟอก สารช่วยการละลาย สารกันหมอง สารต้านอนุมูลอิสระ เอนไซม์ สารช่วยให้ผ้านุ่ม สารกันไฟฟ้าสถิตย์ ฯลฯ

( 1 ) สารพวกฟอสเฟตเป็นปุ๋ยจากผงซักฟอกเมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ จะทำให้พืชน้ำเจริญเติบโต รวดเร็ว ทำให้ขวางทางคมนาคมทางน้ำ ทำลายทัศนียภาพ ทำให้ออกซิเจนละลายน้ำไม่ได้ สิ่งมีชีวิตขาดออกซิเจนตายได้ และพืชน้ำเกิดมากอาจจะตาย ย่อยสลาย เน่า ทำให้น้ำเสีย
( 2 ) ผงซักฟอกชนิด C ใน R แตกกิ่งก้านสาขาจุลินทรีย์ในน้ำสลายไม่ได้ ทำให้ตกค้างในน้ำ เมื่อ เข้าสู่ร่างกายของคนจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้
ฟอสฟอรัสมีส่วนสำคัญต่อจุดเริ่มต้นของสายใยอาหาร (food webs) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของผู้ผลิต คือ พืชต่างๆ นั่นเอง ช่วยให้สาหร่ายและแพลงก์ตอนพืฃเจริญเติบโต เป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำหลายชนิด

ตามธรรมชาติพบว่าการเพิ่มปริมาณฟอสฟอรัสลงสู่แหล่งน้ำมีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การดำรงชีวิตประจำวันและการเกษตร ในวัฏจักรของฟอสฟอรัสเกิดจากสัตว์กินพืชที่สะสมฟอสฟอรัสไว้ หลังจากสัตว์ตายลงเกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ปลดปล่อยฟอสฟอรัสในรูปสารประกอบละลายน้ำได้ออกสู่ดิน และพืชดูดนำไปใช้ในการเจริญต่อไป ปริมาณฟอสฟอรัสในดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ชะล้างลงสู่แหล่งน้ำเนื่องจาก หลังกระบวนการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์แล้วฟอสฟอรัสจะทำปฏิกิริยากับโลหะอื่นๆ กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำยากหรือไม่ละลายน้อยมากตกตะกอนในแหล่งน้ำ ถ้าในแหล่งน้ำมีอนุมูลฟอสฟอรัสที่ละลายได้ในปริมาณมาก จะทำให้พืชน้ำ (aquatic plants) สาหร่าย (algae) และแพลงก์ตอนพืฃ (phytoplankton) ซึ่งเป็นผู้ผลิต (producer) ในห่วงโซ่อาหาร (food chains) เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว (overdrive growth) เกิดขึ้นอย่างหนาแน่น (bumper crop) สูญเสียภาวะสมดุลของสิ่งมีชีวิตในน้ำ เรียกว่า "ปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication ; Algae bloom)" ซึ่งมีสาเหตุมาจากสารประกอบไนโตรเจนร่วมด้วย สาเหตุเนื่องจากเมื่อปริมาณฟอสฟอรัสในรูปสารประกอบฟอสเฟตในน้ำมากกว่า 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร และปริมาณไนโตรเจนในรูปสารประกอบไนเตรต (-NO3-) มากกว่า 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร ฟอสฟอรัสและไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชน้ำ แพลงก์ตอนพืช และสาหร่าย ช่วงแรกๆ ดูเหมือนจะมีผลดีเนื่องจากมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ปลดปล่อยออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น สัตว์น้ำมีอาหารจากพืชน้ำ สาหร่ายและแพลงก์ตอนพืชที่มากขึ้น จึงแพร่ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย แต่ในช่วงต่อๆ มาทำให้จำนวนสิ่งมีชีวิตในน้ำมีมากขึ้นในบริเวณแหล่งน้ำเดิม จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนในการหายใจเพื่อการดำรงชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้น้ำขาดออกซิเจน สิ่งมีชีวิตในน้ำตายมากขึ้น ดังนั้นน้ำจึงเน่าเสียมากขึ้น ทำนองเดียวกันถ้าแหล่งน้ำมีสัตว์เพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนของ สาหร่ายและแพลงก์ตอนพืช ถ้าสาหร่ายและแพลงก์ตอนพืชเพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้ต้องการออกซิเจนในการ หายใจมากขึ้น แหล่งน้ำทึบแสงมากขึ้น แสงไม่เพียงพอต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง ทำให้สาหร่ายและแพลงก์ตอนพืชตายลง มีการย่อยสลายก่อให้เกิดน้ำเน่าเสียเช่นเดียวกัน ถ้าเกิดในทะเลหรือทะเลสาบจะมีลักษณะที่เรียกว่า "กระแสน้ำแดง (Red tide)" มองเห็นสีของน้ำเปลี่ยนไปจากปกติ ปรากฎการณ์นี้เคยเกิดในทะเลแถบชายฝั่งจังหวัดชลบุรีซึ่งรับน้ำมาจากปากแม่ น้ำบางปะกงที่ทั้งสองฝั่งมีการทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ ที่อยู่อาศัย และโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก...
แนวทางการใช้สารเคมีกำจัดคราบไคลสิ่งสกปรกที่ก่อให้เกิดน้ำเน่าเสียน้อยกว่าผงซักฟอก
- สบู่ สบู่เหลว สูตรเคมี CH3(CH2)nCOO-Na+
- น้ำส้มสายชู หรือกรดแอซิติก (Acetic acid) สูตรเคมี CH3COOH ความเข้นข้น 5%
แหล่งข้อมูล
http://www.ehow.com
http://web.ku.ac.th/schoolnet
http://www.thaieditorial.com
http://raphaball.com
http://echo2.epfl.ch
http://www.cci.net.au
http://www.tisi.go.th
http://student.sut.ac.th
http://web.nkc.kku.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น